หลักเบื่องต้นการฝึกอิมโพรไวส์
การImprovisationนั้น
เรียกเป็นภาษาง่ายๆก็คือการด้นสดหรือสร้างท่วงทำนองสดๆนั่นเอง
แต่ก่อนที่เราจะไปทำแบบนั้นได้เราต้องเตรียมตัวอะไรยังไงบ้างมาดูกัน
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าดนตรีก็เป็นภาษาสื่อสารแบบนึง
สังเกตุได้ว่าเวลาเราพูดกับคนอื่นเราจะสามารถพูดได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมตัว
เราสามารถตอบโต้ได้เพราะเราฟังออกเราพูดได้แม้ว่าเราจะเขียนไม่ได้ก็ตาม
เปรียบเทียบกับการอิมโพรไวส์แล้ว
แบ่งได้เป็น2ประเภท
1. แบบไม่เตรียมตัว =
การเล่นสดๆโดยได้ยินดนตรีนั้นครั้งแรกโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อนก็เปรียบเสมือนการที่เราพูดตอบโต้ในชีวิตประจำวันทั่วไป
เช่นไปที่ทำงานเจอเพื่อนถามโน้นนี้เราจะสามารถตอบไปได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมตัวเราไม่เคยต้องนึกก่อนว่าจะพูดอะไรบ้าง
อยากพูดอะไรก็พูดไป
2. แบบเตรียมตัว =
เปรียบได้กับเวลาคนเราขึ้นไปกล่าวอะไรบนเวทีซักอย่างหรือพวกเดี่ยวไมคโครโฟนเป็นต้น
คือเตรียมโครงและรายละเอียดสิ่งที่จะพูดหรือจะเล่น
ว่าตรงจุดนี้จะเล่นประมาณไหนยังไง
แล้วไปผสมกับความสดบนเวทีอีกทีเพื่อจะได้ไม่ดูอิมโพรไวสสดมากจนออกทะเลเกินไป
มีการซ้อมมาก่อนเป็นต้น
แต่การที่เราจะทำ2แบบข้างต้นได้แน่นอนพื้นฐานคือเราต้องพูดเป็นก่อนถูกมั้ย? ที่นี้เราจะทำยังไงให้เราพูดผ่านเครื่องดนตรีเราได้
คิดง่ายๆครับลองนึกย้อนกลับไปตอนเราหัดพูด
การพูดการฟังของเราเกิดจากชีวิตประจำวันที่ทำซ้ำๆทั้งวันและทุกวันและใช้เวลานับหลายๆปี
การพูดของเราจะดูโตขึ้นมีภาษาที่ดีขึ้นตามอายุของเรา
เปรียบเทียบกับดนตรีได้ว่า
-
Scale และตัวโน็ตก็คือคำศัพท์ต่างๆ
-
เทคนิคหรือสำเนียงต่างๆ
ก็คือการฝึกออกเสียงนั้นเอง เช่น ร เรือ ล ลิง S H Z และน้ำหนักเสียงอารมณ์ในการพูดเป็นต้น
-
วลี(Phrasing)หรือlickก็คือประโยคต่างๆ
ถามว่าเราต้องฝึกScale กี่แบบเยอะแค่ไหน
ก็ต้องถามตัวเองว่าเราอยากมีศัพท์เยอะขนาดไหนหรือเอาแค่ที่จำเป็นต้องใช้
เพราะในชีวิตประจำวันเองเราอาจจะไม่รู้ศัพท์ภาษาไทยบางคำด้วยซ้ำว่ามันมีความหมายว่าอะไรถูกมั้ย
ดังนั้นอันนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นมากกว่า
ฝึกอืมโพรไวส์ก็เหมือนฝึกพูด
(Conversation)
เราลองนึกภาพตอนเราฝึกพูดภาษาอังกฤษก็ได้
เราเริ่มจากท่องศัพท์(Scale) และต่อด้วยเรียนรู้ประโยคต่างๆ(Phrasing,Licks)
เมือเราหัดทั้ง2อย่างได้ประมาณนึงแล้วและรู้ความหมายของมัน
ขั้นตอนต่อไปคือนำมาพูดจริงๆ ซึ่งก็คือการลองJamนั่นเองอาจจะกับBandจริงหรือbackingtrackก็แล้วแต่
ส่วนการฝึกสำเนียงก็คือการเลียนสำเนียงภาษานั่นเอง
เหมือนตอนเราเลียนสำเนียงฝรั่งพูดประโยคเช่น My name is ... ว่ายังไง
มันกระเด้ะมันเน้นสูงต่ำตรงไหน ในทางดนตรีก็เช่นเดียวกัน
มันก็คือการแกะเพลงนั่นเอง
ยิ่งแกะมากและพยายามเลียนสำเนียงให้มากเราก็จะได้สำเนียงที่ดีมาจากเพลงนั้นๆ
ยิ่งหลายเพลงเข้าๆเราก็จะยิ่งมีสำเนียงที่ชัดขึ้น
ตรงจุดนี้ไม่ต้องมาคิดมากหรอกว่าจะกลัวเหมือนคนโน้นคนนี้มันเป็นทัศนคติที่ปิดกั้นตัวเองสุดๆ
คุณคิดว่าคุณโตขึ้นมาตั้งแต่เกิดคุณพูดเหมือนใครบ้างล่ะในแต่ละช่วงเวลาเด็กจนแก่
เริ่มแรกคุณเลียนแบบพ่อแม่พี่น้องต่อมาคุณเลียนแบบเพื่อนครูบาอาจารย์ดาราที่ชอบ
สิ่งเหล่านี้มันจะหล่อหลอมจนเวลาผ่านไปคุณจะมีความถนัดมีรูปแบบการพูดที่จะรู้ว่าเป็นตัวคุณแสดงออกมาเอง
ถ้าลองทั้งชีวิตคุยอยู่กับคน2คนตลอดชีวิตไม่เคยได้ยินภาษามนุษย์จากคนอื่นเลย
คุยก็จะมีสำเนียงเหมือนไอ้2คนนี้รวมกันนั้นแหละ
ในทางดนตรีก็เช่นเดียวกัน
ฟังยิ่งเยอะแกะยิ่งเยอะคุยก็จะยิ่งมีสำเนียงที่ดีและชัดเจนๆขึ้นจนสุดท้ายมันจะหล่อหล่อมจนเป็นคุณเอง
คุณอาจจะอิมโพรไวสได้แม้ไม่รู้ในทางทฤษฎีเลยก็เป็นได้
ไม่ต่างอะไรจากคนที่พูดคล่องแต่เขียนไม่ได้ซักตัว
แต่ถ้าคุณอยากก้าวหน้าอยากมีความรู้คุณก็ต้องไปลงเรียนหนังสืออยู่ดีถูกมั้ย? นั่นหละเช่นกัน
พอมาถึงจุดนึงคุณต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อขยายขอบเขตภาษาคุณให้ดีขึ้น กับดนตรีในที่นี้ก็จะเป็นเรื่องเรียนโครงสร้างเสียงประสาน
และความสัมพันธ์ของModeกับ Chordต่างๆเป็นต้น
ซึ่งก่อนหน้านั้นบางคนอาจจะเล่นไปได้โดยไม่รู้เลยมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่สุดท้ายจะเจออาการที่เรียกว่า"ตัน"เพราะความรู้น้อยเป็นต้น
ดังนั้นถ้าถามว่าจะเริ่มต้นฝึกอิมโพรไวส์ยังไง
ผมตอบได้เลยว่าหัดแกะเพลงเยอะๆ ฝึกScaleเท่าทีจำเป็นเรียนรู้KeyและChordแล้วหัดแจมไปตามเสียงที่เกิดขึ้นในหัวบ่อยๆ
เมื่อตันหรือนึกไม่ออกก็ฟังเพลงหาประโยคใหม่มาเพิ่มแล้วกลับไปแจมใหม่ทำแบบนี้ซ้ำๆทั้งวันและทุกวันให้เหมือนเป็นภาษาที่คุณต้องพูดอยู่ทุกวัน
แล้วสิ่งต่างๆจะทยอยตามมาเอง
สรุปเรื่องราวและความหมายของคำว่า"Improvisation"ได้ประมาณนี้นะครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
คลิปตัวอย่าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น